การศึกษาไทยในปัจจุบันกำลังจะถูกเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นตามที่ทุกคนคาดหวัง
คณะ กอปศ. (กรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา) ได้ร่วมมือกับนักวิชาการหลายคน ในการรับฟังและผลักดัน ความคิดเห็นในการปรับปรุงการศึกษาให้ดีขึ้น โดยได้เสนอเป็น ยกร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติให้กับ กระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง 4 ภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง เพื่อรับมติ จัดทำ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติให้สมบูรณ์และบังคับใช้ต่อไปภายในปี พ.ศ.2561
เรื่องที่ 1 ยกเลิกการสอบ และระบบการตัดเกรดของระดับชั้น ป.1 – ป.3
– จะไม่มีการจัดสอบเก็บคะแนนอีกต่อไป
– จะไม่มีการตัดเกรด (GPA) อีกต่อไป
โดยมีความเห็นว่า เด็ก ป.1 – ป.3 นั้น อยู่ในช่วงที่เหมาะกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และไม่เหมาะกับการได้รับแรงกดดัน เพราะจะทำให้เด็กเป็มปมกับการแข่งขันในระบบการศึกษา
เรื่องที่ 2 ปรับเปลี่ยนการจัดสอบ O-NET และห้ามใช้ O-NET เป็นคะแนนสอบต่างๆ
– ไม่บังคับให้เด็กนักเรียนสอบอีกต่อไป
– จะมีการสุ่มสอบเฉพาะบางโรงเรียน เพื่อคัดตัวอย่างไปปรับหลักสูตรการศึกษาต่อไป
– คะแนน O-NET จะถูกห้ามไม่ให้ใช้เป็นคะแนนสอบคัดเลือกต่างๆ
โดยมีความเห็นว่า การจัดสอบแต่ละครั้งนั้นมีการใช้งบประมาณสิ้นเปลือง และไม่สามารถใช้ตัวอย่างจากการที่จัดสอบมานั้น มาปรับปรุงหลักสูตรให้ดีขึ้นไม่ได้เท่าที่ควร
เรื่องที่ 3 ยกเลิกระบบการเรียนรู้แบบ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
– โรงเรียนที่ขึ้นตรงกับกระทรวงศึกษาธิการ จะไม่มีการสอนแบบ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ (ภาษาไทย คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลปะศึกษา พลศึกษา และการงานอาชีพ) อีกต่อไป
– จะมีหลักสูตรใหม่มาแทนชื่อว่า หลักสูตรฐานสมรรถนะ
โดยมีความเห็นว่า การศึกษาไทยในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้เท่าที่ควร อย่างนาฏศิลป์ ถ้าไม่ได้เป็นนางรำ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเรียน นอกจากได้รับเป็นความรู้ทั่วไป จึงไม่สมควรที่จะบังคับต้องเรียน
หลักสูตรฐานสมรรถนะ คือ หลักสูตรที่ประกอบด้วย
– ความรู้ทั่วไป เป็นความรู้ที่ได้รับมาแล้วอาจจะได้ใช้ในอนาคต
– ความรู้รอบตัว เป็นความรู้ที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
– ความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน เป็นความรู้ที่เกิดจากความสนใจเฉพาะด้านของเด็กแต่ละคน อย่างเช่น ความรู้เรื่องนาฏศิลป์ เกิดจากการที่เด็กอยากจะเป็นนักดรีไทย
ถ้าหากว่าการปฏิรูปนี้เกิดขึ้นจริง ทั้งผู้ปกครองและตัวเด็กนักเรียนเองควรจะปรับตัวกันอย่างไรบ้างนะ ?
ข้อ 1 กวดวิชาจะไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะบางทีการเรียนแบบนี้อาจจะให้ประโยชน์ได้ดีไม่มากพอ ถ้าตัวเด็กนักเรียนเองสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองในการนำความรู้ไปใช้ได้จริงทั้งในชีวิตประจำวันและในการแข่งขันสอบวัดความรู้ต่างๆ และถ้าผู้ปกครองไม่บังคับเด็กในการกวดวิชามากเกินไป เพราะจะทำให้เด็กเกิดความกดดันและเรียนไม่รู้เรื่องเท่าที่ควร
ข้อ 2 ส่งเสริมให้ตัวตนของเด็กโดดเด่น ที่เกิดจากความสามารถเฉพาะด้านตั้งแต่เนิ่นๆ โดยที่ผู้ปกครองลองหยิบจับสิ่งใหม่ๆให้กับเด็กอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เด็กค้นพบตัวตนและฝึกฝนพัฒนาความสามารถต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในอนาคตว่า ตัวเองถนัดอะไร อยากเป็นอะไร ควรพัฒนาอะไรต่อไปบ้าง
ข้อ 3 ส่งเสริมแนะนำให้เด็กเปลี่ยนแนวทางการทำ Portfolio ให้มีแต่เรื่องที่เด็กสนใจ และได้แสดงความสามารถเฉพาะด้านอย่างเต็มความสามารถ ด้วยการส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมที่สนใจได้เต็มที่กับความสามารถเพื่อที่เด็กจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการจัดทำ Resume หรือ CV(Curriculum Vitae) ในการยื่นสมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
——————————————————
Infographic Thailand รับผลิต Infographic, Motion graphic , presentation และ อื่นๆ กรอกรายละเอียดบอกเราได้ที่ Click
แสดงความคิดเห็น